วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ปัญหานักเรียนแล้วแล้วลืม ขาดความจำ

ความหมายของการจำ

ความหมายของการจํามีผูที่ใหความหมายไวหลายทานด้วยกัน ดังนี้
กมลรัตน์ หลาสุวงษ (2528) ใหความหมายการจําวา คือความสามารถสะสมประสบการณางๆ ที่ไดรับจากการเรียนรูทั้งทางตรงและทางออม แลวสามารถถายทอดออกมาในรูปของการระลึกได้ หรือจําได
มาลินี จุฑะรพ (2537) กลาววาการจํา หมายถึงกระบวนการที่สมองเก็บสะสมสิ่งที่ไดเรียนรูไวและสามารถนําออกมาใชไดเมื่อถึงภาวะจําเป็น
ภาควิชาจิตวิทยาคณะมนุษยศาสตรมหาวิทยาลัยเชียงใหม (2540) กลาวว่าความจำ คือการที่คนเราสามารถบอกถึงเหตุการณที่ได้จากการเรียนรูแลวสามารถแสดงประสบการณดังกลาว ออกมาในรูปของการระลึกไดหรือการแสดงออกทางพฤติกรรม
กิลฟอรด (Guilford, 1956 : 221) กลาววา ความจําเปน ความสามารถที่จะเก็บหนวยความรูไว และสามารถระลึกไดหรือนําหนวยความรูนั้นออกมาใชไดในลักษณะเดียวกันกับที่เก็บเขาไว ความสามารถดานความจําเปนความสามารถที่จําเปนในกิจกรรมทางสมองทุกแขนง
เทอรสโตน (Thurstone, 1958 : 121) กลาววา สมรรถภาพสมองดานความจําเปน สมรรถภาพดานการระลึกไดและจดจําเหตุการณหรือเรื่องราวตางๆ ไดถูกตองแมนยํา
อดัมส (Adams, 1967 : 9) กลาววา ความจําเปนพฤติกรรมภายใน (Covert Behavior) ซึ่งเกิดขึ้นภายในจิตเชนเดียวกับความรูสึก การรับรู ความชอบ จินตนาการและพฤติกรรมทางสมองดานอื่น ๆ ของมนุษย
ชวาล แพรัตกุล (2514 : 65) กลาววา คุณลักษณะนี้ก็คือความสามารถของสมอง ในการบันทึกเรื่องราว
ตาง ๆ รวมทั้งที่มีสติระลึกจนสามารถถายทอดออกมาไดอยางถูกตอง
          เชิดศักดิ์ โฆวาสินธุ (2525 : 121) กลาววา ความจํา หมายถึง ความสามารถในการเก็บรักษา บันทึกเรื่องราวตาง ๆ ไวในสมองอยางถูกตองรวดเร็ว และ สามารถระลึกไดโดยสามารถถายทอดสิ่งที่จําไดออกมา
          อเนก เพียรอนุกุลบุตร (2527 : 138) กลาววา ความจําเปนความสามารถที่จะทรงไวซึ่งสิ่งที่รับรูไว
แลวระลึกออกมา อาจระลึกออกมาในรูปของรายละเอียด ภาพ ชื่อ สิ่งของ วัตถุ ประโยค และแนวคิด ฯลฯ
ความจํามี 2 ชนิดใหญ ๆ คือ จําอยางมีความหมายและ จําอยางไมมีความหมาย
          ชาญวิทย เทียมบุญประเสริฐ (2528 : 163) กลาววา ความจําเปนสมรรถภาพใน การจําเรื่องราวตาง ๆ
เหตุการณ ภาพ สัญลักษณ รายละเอียด สิ่งที่มีความหมายและสิ่งที่ไรความหมายและสามารถระลึกหรือถายทอดออกมาได
          ไสว เลี่ยมแกว (2528 : 8) กลาววา ความจํา หมายถึง ผลที่คงอยูในสมองหลัง จากสิ่งเราไดหายไปจากสนามสัมผัสแลว ผลที่คงอยูนี้จะอยูในรูปของรหัสใด ๆ ที่เปนผลจาก การโยงสัมพันธ
          สรุปไดาการจํา คือกระบวนการที่สมองเก็บประสบการณ์ความรู้แล้วจำอย่างมีความหมายหรือจำอย่างไม่มีความหมาย และสามารถระลึกออกมาในรูปแบบต่างๆ
         
  

ขบวนการและขั้นตอนของการจํา

นักจิตวิทยาได้ศกษาคนควาเกี่ยวกับเรื่องของความจําและได้ใหอสรุปกระบวนการของ ระบบความจํามนุษย์ดงตอไปนี้
           สิ่งเร® การรับขอมูล ® เก็บรักษาขอมูล® การระลึกได®  การตอบสนอง   
          การรับขอมูล (Encoding) หมายถึงการที่ระบบประสาทสัมผัสรับสิ่งเราในรูปของขาวสารหรือขอมูลเขามา
การเก็บรักษาขอมูล ( Storage) หมายถึงการเก็บรักษาขอมูลที่ไดรับมาไวใน สมอง ซึ่งมักจะเก็บตามลักษณะของการรับสัมผัส เชนในแงของการมองเห็นรูปภาพ หรือการได้ยิน เปนตน การระลึกได (Recall) หมายถึงการเอาขอมูลที่เก็บไวมาใช (มธุรส สวางบํารุง , 2542 )
          สรุปไดามนุษย์มีขั้นตอนในการจดจำเป็นกระบวนการโดยเริ่มจากการกระตุนใหเกิดความสนใจและอยากรับรูเป็นการรับขอมูลเขามาในกลไกของสมองเพื่อจัดเก็บและเมื่อถึงเวลาใน อนาคต สามารถระลึกถึงหรือจดจําได้


 ประเภทของการจํา

          ในการศึกษาเรื่องของการจำของมนุษยลักษณะของการจำสามารถจำแนกออกเป็นในลักษณะตางๆ ดังที่    มาลินี จุฑะรพ (2537) แบงการจําออกเป4 ประเภทคือ
          1. การจําได (Recognition) ไดแกการจําสิ่งที่เรารับรูหรือเคยรูจักเมื่อเราไดพบอีกครั้งหนึ่ง เชน การสามารถจําคุณครูที่เคยสอนเราได
          2. การระลึกได (Recall) ไดแกการจําในสิ่งที่เคยรับรูหรอเคยเรียนรูมากอนโดยมิตองพบเห็นสิ่งนั้นอีก เชน ปจจุบันเราสามารถท่องสูตรคูณ หรือทองบทอาขยานที่เคยทองได้ในชั้นประถม โดยไมองดูบทสูตรคูณหรือบทอาขยานนั้นๆ เลย
          3. การเรียนใหม ( Relearning) ได้แกการจำในสิ่งที่เคยรับรู้หรือเคยเรียนมากอนแตบัดนี้ลืมไปแลวเมื่อกลับมาเรียนใหมปรากฏวาเรียนไดรวดเร็วกวาหรือจําไดเร็วกว่าในอดีต เชน เคยทองสูตรคูณแม 12 ไดแตเมื่อลืม
แลวก็เริ่มทองใหมปรากฏวาใชเวลาในการทองนอยลงเป็นต
          4. การระลึกถึงเหตุการณในอดีต (Reintegration) ไดแกการจําเหตุการณที่เกี่ยวโยงกันในอดีตได เมื่อพบเห็นเหตุการณบางอยางที่เกี่ยวโยงกัน เช่น เมื่อนักศึกษาเขาหองสอบในขณะที่ทํา ขอสอบไมไดทําใหองใช้การจำประเภทนี้โดยอาจจะตองระลึกถึงเหตุการณ์ในอดตวา ในขณะที่ ฟงครูสอนเรื่องนั้น ครูได้ยกตัวอยางหรือครูไดอธิบายไวาอยางไรเป็นต
          ไสว เลี่ยมแกว (2528) ไดแบ่งประเภทของความจำไดดังตอไปนี้
          1. การระลึก (Recall) หมายถึงการบอกสิ่งที่เคยเรียนรูมาแล้วการระลึกแบงออกตาม สถานการณที่
เกี่ยวของได 3 แบบคือ
                   1.1 การระลึกเสรี (Free Recall) คือการบอกสิ่งที่เคยเห็นหรือเคยเรียนมาก่อนระลึกสิ่งใดได้กตอบสิ่งนั้น ไมจําเป็นต้องเรียงลําดับก่อนหลัง
                   1.2 การระลึกตามลําดับ (Serial Recall) คือการตอบสิ่งที่เรียนมาจากลําดับแรก จนกระทั่งลําดับสุดทาย
                   1.3 การระลึกตามตัวแนะ (Cue Recall) คือการบอกสิ่งที่เคยเห็นหรือเรียนรูมาโดยมีตัวชี้แนะ
เปนสิ่งเร้า
          2. การรูจักหรือจำได (Recognition) คือการบอกสิ่งตางๆ ไดเมื่อสิ่งที่เคยเรียนรูปรากฏขึ้นอีกครั้ง
          3. การเรียนซ้ำ (Relearning) เปนการจําไดที่เกิดจากการเรียนซ้ำในสิ่งที่ได้เรียนรูไปแล
          4. ความคงทนในการจํา (Retention) หมายถึงความสามารถในการระลึกหรือเรียกสิ่งที่ได เรียนรูจําไดเมื่อเวลาผานไปแลวชวงหนึ่ง (Richards, 1987) ซึ่งในการเรียนการสอนภาษาความคงทนในการจำมักมีผูสนใจไดทําการศึกษาไมาเป็นเสียงคําศัพทโครงสราง หรือกฎเกณฑางๆ ซึ่งคุณภาพของความคงทนในการจําคําศัพทนี้ขึ้นอยูกับคุณภาพของการสอนประสิทธิภาพของคําศัพทและเนื้อหาตลอดจนกิจกรรมตางๆ รวมทั้งความสนใจของ
ผูเรียนเองดวย
          จากแนวคิดที่เกี่ยวกับประเภทของความจําพอสรุปไดาการจํานั้นมีหลายแบบแตกตางกัน ไดแกการระลึกเปนการเรียกใชความจําโดยไมองมีสิ่งใดกระตุน การรูจักหรือจําไดเปนการเรียก ความจําที่อาศัยสิ่งเราที่เกี่ยวของกับสิ่งที่เคยเรียนรูมากอน การเรียนซ้ำเปนการเรียกความจําที่ตองมี การเรียนซ้ำสิ่งที่เคยเรียนและความคงทนในการจําเป็นการเรียกความจำมาใช้ได้หลงจากทิ้งชวงไปแลวในระยะเวลาหนึ่ง

ทฤษฏีเกี่ยวกับการลืม

          1. การเสื่อมลงไป นักจิตวิทยาที่สนับสนุนแนวคิดนี้เชื่อวาขอมูลที่เก็บไวในหนวยความจําจะเสื่อมลง ไปทันทีที่เวลาผานไป ซึ่งโดยปกติคนเราจะลืมสิ่งที่เพิ่งไดทําผานไปทันทีเวนแตจะนึกถึงสิ่งนั้นบอยๆ
          2. การรบกวนกันของขอมูล ทฤษฏีนี้กลาววาการลืมเกิดขึ้นจากการที่มีขอมูลอื่นสอดแทรกเขามาใน ระหวางที่เรากําลังจดจํา การรบกวนกันของขอมูลมีสองประเภทคือ proactive interference และ retroactive interference (Bernstein. 1999 : 206) ซึ่ง proactive interference คือการที่ขอมูลเกาที่เคยเรียนรูมากอนหนา นี้เขามารบกวนการเรียนรูขอมูลใหมที่กําลังเรียนรูสวน retroactive interference คือการที่ขอมูลใหมยอนกลับ ไปรบกวนขอมูลเกาที่เคยเรียนรูมากอน
          3. ความลมเหลวในการกูกลับคืน คือการที่เราไมสามารถกูขอมูลที่บันทึกไวกลับคืนมาไดเนื่องจาก ไมมีสิ่งกระตุนที่เหมาะสมที่จะทําใหเราสามารถกูขอมูลกลับคืนมาได
          4. แรงจูงใจที่จะลืม เปนแรงกระตุนจากภายในที่ผลักดันใหเราลืมสิ่งที่ไมพึงปรารถนาอันเนื่องมาจาก มีการเก็บกดประสบการณและความนึกคิดที่ไมพึงปรารถนาใหอยูในระดับจิตไรสํานึก

ทฤษฎีเกี่ยวกับความสามารถดานความจํา

          ในทางจิตวิทยา ไดมีการกลาวถึงทฤษฎีเกี่ยวกับการจําและการลืมไวหลายทฤษฎี แตที่สําคัญสรุปไดมี 4 ทฤษฎี คือ
          ทฤษฎีความจําสองกระบวนการ (Two – Process Theory of Memory) ทฤษฎีนี้สรางขึ้นโดย
แอตคินสัน และชิฟฟริน (Atkinson and Shiffrin) ในป ค.ศ. 1968 กลาวถึงความจําระยะสั้นหรือความจําทันทีทันใดและความจําระยะยาววา ความจําระยะสั้นเปน ความจําชั่วคราว สิ่งใดก็ตามถาอยูในความจําระยะสั้นจะตองไดรับการทบทวนอยูตลอดเวลามิฉะนั้นความจําสิ่งนั้นจะสลายตัวไปอยางรวดเร็ว ในการทบทวนนั้นเราจะไมสามารถทบทวนทุก สิ่งที่เขามาอยูในระบบความจําระยะสั้น ดังนั้นจํานวนที่เราจําไดในความจําระยะสั้นจึงมีจํากัด การทบทวนปองกันไมใหความจําสลายตัวไปจากความจําระยะสั้น และถาสิ่งใดอยูในความจํา ระยะสั้นเปนระยะเวลายิ่งนาน สิ่งนั้นก็มีโอกาสฝงตัวในความจําระยะยาว ถาเราจําสิ่งใดไดใน 11 ความจําระยะเวลายิ่งนาน สิ่งนั้นก็มีโอกาสฝงตัวในความจําระยะยาว ถาเราจําสิ่งใดไวในความ จําระยะยาวสิ่งนั้นก็จะติดอยูในความทรงจําตลอดไป
(ชัยพร วิชชาวุธ, 2520 : 71)
          ทฤษฎีการสลายตัว (Decay Theory) เปนทฤษฎีการลืม กลาววา การลืมเกิด ขึ้นเพราะการละเลยในการทบทวน หรือไมนําสิ่งที่จะจําไวออกมาใชเปนประจํา การละเลยจะ ทําใหความจําคอย ๆ สลายตัวไปเองในที่สุด ทฤษฎีการสลายตัวนี้นาจะเปนจริงในความจํา ระยะสั้น เพราะในความจําระยะสั้นหากเรามิไดจดจอหรือสนใจทบทวนในสิ่งที่ตองการจะจํา เพียงชั่วครูสิ่งนั้นจะหายไปจากความทรงจําทันที (Adams, 1967 : 23 - 25)
          ทฤษฎีการรบกวน (Interference Theory) เปนทฤษฎีเกี่ยวกับการลืมที่ยอมรับ กันในปจจุบันทฤษฎีหนึ่ง ทฤษฎีนี้ขัดแยงกับทฤษฎีการสลายตัว โดยกลาววาเวลาเพียงอยาง เดียวไมสามารถทําใหเกิดการลืมได แตสิ่งที่เกิดในชวงดังกลาวจะเปนสิ่งคอยรบกวนสิ่งอื่น ๆ ในการจํา การรบกวนนี้ แยกออกเปน 2 แบบ คือ การตามรบกวน (Proactive Interference) หรือการรบกวนตามเวลา หมายถึง สิ่งเกา ๆ ที่เคยประสบมาแลวหรือจําไดอยูแลวมารบกวน สิ่งที่จะจําใหม ทําใหจําสิ่งเราใหมไมคอยได อีกแบบของการรบกวนก็คือ การยอนรบกวน (Retroactive Interference) หรือการรบกวนยอนเวลา หมายถึงการพยายามจําสิ่งใหมทําใหลืม สิ่งเกาที่จําไดมากอน (Adams, 1980 : 299 - 307) จึงกลาวไดวา ทฤษฎีการลืมนี้ เกิดขึ้นโดย ความรูใหมไปรบกวนความรูเกา ทําใหลืมความรูเกาและความรูเกาก็สามารถไปรบกวนความรู ใหมไดดวย
          ทฤษฎีการจัดกระบวนการตามระดับความลึก (Depth – of – Processing Theory) ทฤษฎีนี้สรางขึ้นโดย เครก และลอกฮารท (Craik and Lockhart) ในป 1972 ซึ่ง ขัดแยงกับความคิดของ แอตคินสัน และชิฟฟริน ที่กลาววา ความจํามีโครงสรางและตัวแปร สําคัญของความจําในความจําระยะยาวก็คือ ความยาวนานของเวลาที่ทบทวนสิ่งที่จะจําใน ความจําระยะสั้น แตเครก และลอกฮารท มีความคิดวา ความจําไมมีโครงสรางและความจําที่ เพิ่มขึ้นไมไดเกิดขึ้นเพราะมีเวลาทบทวนในความจําระยะสั้นนาน แตเกิดขึ้นเพราะความซับ ซอนของการเขารหัสที่ซับซอน หรือการโยงความสัมพันธของสิ่งที่ตองการจํา ยอมอาศัยเวลา แตเวลาดังกลาวไมใชเพื่อการทบทวน
แตเพื่อการระลึกหรือซับซอนของการกระทํากับสารที่เขา ไป (การเขารหัส) ถายิ่งลึก (ซับซอน) ก็จะยิ่งจําไดมาก
นั่นคือตองใชเวลามากดวย (ไสว เลี่ยม แกว, 2528 : 20 - 23)

การลืม (forgotting)
การลืมมีสาเหตุหลายประการ คือ
1. การไม่ได้ลงรหัส (Encoding Failure) การลืมอาจเกิดขึ้นเพราะไม่ได้มีการจำตั้งแต่แรก เช่น บ้านเพื่อนเราที่เราเคยไปเที่ยวหันหน้าไปทางทิศไหน เราอาจจะตอบไม่ได้ทั้งๆที่เคยไป เพราะไม่ได้จำ หรือถามว่าเรากระพริบตานาทีละกี่ครั้ง บ้านของเรามีประตูและหน้าต่างกี่บาน ทั้งที่เป็นบ้านของเราเองแต่เราก็อาจจะตอบไม่ได้ในทันที เพราะไม่คิดจะจำมาก่อนนั่นเอง
2. เสื่อมสลาย (Decay) เป็นกาารลืมสืบเนื่องจากเกิดจากการเสื่อมสลายของความจำซึ่งเกิดจากกาลเวลาที่นานออกไป  ความจำเก่าๆ อาจถูกแทนที่ได้ความจำที่ใหม่กว่า หรือข้อมูลที่เราจำ ไม่ได้ถูกนำมาใช้ ทำให้ความจำอ่อนลงไป
3. การลืมเพราะขึ้นอยู่กับสิ่งชี้แนะ (Cue-Dependent Forgetting) บางเรื่องเราจำได้ แต่จำได้แบบคลับคล้ายคลับคลา ไม่สามารถนำมาใช้ได้หรือไม่สามารถบอกได้ถูก เหมือนติดอยู่ที่ริมฝีปาก  แต่ถ้ามีสิ่งใดมากระตุ้นความจำ เช่น มีคนพูดเรื่องที่ใกล้เคียง หรือมีการบอกใบ้ ก็จะนำมาใช้ได้หรือนึกออก
4. การรบกวน (Interfere) บางทีการเรียนรู้ใหม่รบกวนก็รบกวนความรู้เก่า ทำให้ความรู้เก่าหายไป  บางทีความเก่าก็รบกวนความรู้ใหม่ ทำให้เราสับสน จำสิ่งที่เรียนรู้ใหม่ไม่ได้  สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นความลืมที่เกิดจากการรบกวน
5. การเก็บกด (Repression) คนเรามักจะจดจำสิ่งดีๆหรือสิ่งที่ทำให้เรามีควรามสุขในชีวิตได้มากกว่าเหตุการณ์ที่เราไม่ชอบ เรื่องที่น่าละอาย ไม่ปรารถนาจะให้เกิดขึ้น เนื่องจากเรามักจะไม่คิดถึงเหตุการณ์ที่เราไม่ชอบ เป็นการจูงใจเพื่อลืมความจำที่เจ็บปวดหรือความละอายจะถูกเก็บกดให้อยู่ในจิตใต้สำนึก ในลักษณะที่ไม่อยากจะคิดถึงหรือหลีกเลี่ยงที่จะคิดถึงมัน เป็นต้น
นอกจากนี้ การลืมอาจเกิดขึ้นได้ใน ลักษณะ คือ  สาเหตุทางฝ่ากาย เช่น เกิดอุบัติเหตุสมองถูกกระทบกระเทือน เป็นโรคอัลไซเมอร์  หรือสาเหตุทางฝ่ายจิตใจ  เช่น ผู้ป่วยมีเรื่องไม่สบายใจอย่างรุนแรง อาจจะลืมเรื่องราวของตนบางส่วนเป็นช่วงๆ หรือลืมเรื่องราวทั้งหมดของตน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเรารู้แล้วว่าการจำการลืมเป็นเรื่องที่ซับซ้อนของสมองมนุษย์ก็อย่าเป็นเครียดหรือวิตกกังวลกับภาวะการจำการลืมของตนเอง เพราะคงจะช่วยอะไรไม่ได้มากนอกจากซ้ำเติมเหตุการณ์ให้เลวร้ายหรือทุกข์หนักขึ้นไปอีก  ในทางพระพุทธศาสนาก็มีคำสอนอยู่แล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนตกอยู่ภายใต้ไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)  เบญจขันธ์ทั้งห้าที่ประกอบเป็นตัวตนของเรา (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)  ก็ล้วนตกอยู่ในลักษณะเช่นเดียวกัน  “สัญญ (memory or recognition)ในทางพระพุทธศาสนาก็มีลักษณะคล้ายๆกับ ความจำในความหมายของนักจิตวิทยานั่นเอง...


http://archive.lib.cmu.ac.th/full/T/2552/teng0952ah_ch2.pdf

http://kb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2010/6707/9/Chapter2.pdf

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น